ได้เวลามาเล่าเรื่องราวของการเดินทางกันอีกครั้ง เมื่อพวกเราทีม Getaway Holidays เตรียมความพร้อมเพื่อจัดรายการเดินทางท่องเที่ยวสำหรับลูกค้าทุกท่าน เราเริ่มด้วยการออกสำรวจเส้นทางจังหวัดฉะเชิงเทราด้วย “รถไฟ" เมื่อสัปดาห์ก่อน วันนี้เลยขอนำภาพบรรยากาศการเดินทาง เบื้องหลังสวยๆ สนุกๆ มาเล่าสู่กันฟัง ให้ท่านได้เพลิดเพลิน เรียกน้ำย่อยหรือ เสริมแรงบันดาลใจ และออกเดินทางท่องเที่ยวกันอีกครั้ง พร้อมพบกับรายการดีดีจาก Getaway Holidays เร็วๆ นี้
ชมวีดิโอนั่งรถไฟเที่ยวฉะเชิงเทราใน 1 วัน 👇
6 โมงเช้า ทีมเราพร้อมกันที่ “สถานีรถไฟกรุงเทพ (หัวลำโพง)" เก็บภาพบรรยากาศยามเช้าของสถานีกรุงเทพ แบบนี้เลยครับ
พื้นที่ภายในโถงสำหรับนั่งรอ และห้องจำหน่ายตั๋ว เรียกว่า คนเดินทางยังไม่มากเหมือนเมื่อก่อนที่เราเคยพบเจอ เราเดินสำรวจมุมต่างๆเรียกว่า ไม่แออัด สบายๆ สไตล์ Social Distancing แถมตอนนี้ยังมีการติดตั้ง เครื่องจำหน่ายตั๋วโดยสารของการรถไฟ พร้อมสำหรับอำนวยความสะดวกให้กับผู้โดยสารทุกท่าน ซึ่งเป็นแบบหน้าจอสัมผัส หรือ touch screen ไม่ต้องรอคิวหน้าเคาน์เตอร์ ก็จัดการตั๋วสำหรับตัวเองแบบสบายๆ เลยครับ
และนี่คือ หน้าตาของตั๋วรถไฟที่กดซื้อจากเครื่องอัตโนมัติครับ สวยงามทันสมัย บอกรายละเอียด วันเดินทาง หมายเลขขบวนรถไฟ เส้นทาง ชั้นบริการ และ ราคา สำหรับวันนี้คือ รถขบวนที่ 283 เส้นทาง กรุงเทพ – ฉะเชิงเทรา ชั้น 3 พัดลม ราคาใบละ 13 บาท เท่านั้นเอง ครับ
เอาล่ะ ตอนนี้ได้เวลากระโจนขึ้นขบวนกันแล้วครับ เราไปกันที่ชานชาลา หมายเลข 6 ที่จอทีวีแจ้งไว้
และแล้ว ล้อก็หมุน เมื่อถึงเวลา 06.55 น. เช้าวันนี้อากาศสดใส ระหว่างทางมีลมเย็นพัดโชยผ่านหน้าต่างบานกว้างตลอดเวลา แถมวิวสองข้างทางของชุมชนที่รถเคลื่อนผ่าน ได้บรรยากาศกันทีเดียว พวกเราเตรียมอาหารเช้าง่ายๆ ขึ้นมาทานกันระหว่างทาง บางคนก็เลือกซื้อสินค้าที่ชาวบ้านนำขึ้นมขายบนรถเมื่อจอดในบางสถานี แม้ตอนนี้จะไม่มีมากนัก แต่ก็ได้บรรยกากาศการเที่ยวรถไฟที่เรียกความสำราญใจได้มากทีเดียวครับ
เรานั่งกันเพลินๆประมาณ 2 ชม. ก็มาถึงสถานีปลายทางที่ “สถานีชุมทางฉะเชิงเทรา" เมื่อเวลา 08.55 น. เรียกว่าค่อนข้างตรงเวลา และแดดยังไม่ร้อนนัก เราก็เริ่มสำรวจอัพเดท สถานีรถไฟตามจุดสำคัญกันทันทีครับไม่เป็นการเสียเวลา ทั้ง ห้องสุขา สำหรับลูกค้าเมื่อเดินทางมาถึง ป้ายชื่อสถานี ห้องจำหน่ายตั๋ว จากนั้นเมื่อเดินกันออกมาด้านหน้าสถานีติดกับถนนสายหลัก พลาดไม่ได้ครับ ที่จะต้องเก็บภาพ รถจักรไอน้ำ เท็น วีลเลอร์ หมายเลข 182 ซึ่งขบวนนี้เคยถูกใช้งานจริงมาแล้ว ก่อนที่ในช่วง พ.ศ. 2522 ถูกปลดระวางออกไป ก่อนที่จะนำมาจอดไว้ที่สถานีจนถึงปัจจุบันนี้ สวยงามและคลาสสิคมากครับ
หันมาเห็น รถตู้ปรับอากาศทีมเมืองแปดริ้ว มารออยู่แล้วครับ เอาล่ะ เวลาแห่งการสำรวจ เมืองแปดริ้ว ฉะเชิงเทรา กำลังจะเริ่มขึ้นแล้วครับ ไปชมพร้อมกันเลยครับ
จุดเช็คลิสต์แรกที่พลาดไม่ได้นั่นคือ "วัดโสธรวรารามวรวิหาร" ถือฤกษ์เอาชัยกันหน่อยครับวัดแห่งความศรัทธาของคนไทยและชาวแปดริ้ว ผู้คนยังคงหลั่งไหลเข้ามานมัสการหลวงพ่อพุทธโสร หรือ หลวงพ่อโสธร ที่เรียกกันติดปากไม่ขาดสาย บางคนยังมาแก้บนด้วยไข่ต้ม พวงมาลัย และละครรำ นอกเหนือจากการกราบสักการะขอพรหลวงพ่อ ที่นี่ มีจุดเก็บภาพสวยๆ ได้หลากหลายมุม ยิ่งบริเวณพระอุโบสถใหม่ สวยงามตระการตาทั้งเมื่อมาในช่วงเช้า บ่าย เย็น บางคนก็เก็บภาพบรรยกาศ ณ จุดแก้บนแบบได้พร้อบสวยๆ กับผู้คนและไข่ต้ม หรือแม้แต่ศาลาริมน้ำที่อยู่ด้านหลังวัด เดี๋ยวขอตัวไปไหว้พระก่อนนะครับแล้วพบกันในจุดต่อไป
จุดสำรวจต่อมาคือที่ “วัดเทพนิมิตร" ซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับตลาดบ้านใหม่ 100 ปี วัดเก่าแก่และมีความสำคัญอีกแห่งที่เป็นที่เคารพของชาวแปดริ้ว ทั้งไทย และไทย-จีน ตามประวัติศาสตร์ วัดนี้สร้างขึ้นตั้งแต่ครั้งรัชกาลที่ 5 ภายในพระอุโบสถมีพระประธานคือ หลวงพ่อโต พระประธานที่อายุเกินกว่า 100 ปี สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น และ เหรียญของ รัชกาลที่ 8 ประดับอยู่ด้านบน ที่ได้รับพระราชทานมาจากพระองค์ท่าน อุโบสถตกแต่งสวยงามด้วยภาพจิตรกรรมฝาผนัง ถัดมาศาลาริมน้ำมีพระพุทธไสยาสน์ประดับด้วยกระจก ถัดไปคือ พระสังกระจาย และพระพุทธเจ้าองค์ดำ ที่ถอดแบบมาจากนาลันทา อินเดีย ที่คนมักมาขอพรให้อาการดีขึ้นเรื่องโรคภัยไข้เจ็บ และที่วัดนี้เองยังเป็นจุดขึ้น-ลงเรือ สำหรับทัวร์เรือจากตลาดบ้านใหม่ มีต้นจากทำให้บรรยากาศสงบ ร่มรื่น ยิ่งนัก
จากนั้นใกล้กัน คือ “วัดจีนประชาสโมสร" หรือ วัดเล่งฮกยี่ซึ่งเป็นส่วนของท้องมังกร ซึ่งประกอบกับอีก 2 วัด จนออกมาเป็นรูปร่างมังกร ตามความเชื่อของชาวจีน ที่นับถือให้มังกรเป็นสัตว์ที่ยิ่งใหญ่ มีพลังอำนาจสูงสุดในโลก ได้แก่ ที่วัดเล่งเน่ยยี่ ที่เยาวราช เป็นส่วนหัว และ วัดวัดเล่งฮั้วยี่ อ.แหลมสิงห์ จ.จันทบุรี ที่เป็นส่วนหาง ตามเนื้อหาทางประวัติศาสตร์พบว่าที่วัดเล่งฮกยี่ ถูกสร้างมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 เมื่อครั้งที่พระองค์เสด็จประพาส จังหวัดฉะเชิงเทรา ในพิธีเปิดการเดินรถไฟเส้นทาง กรุงเทพ – ฉะเชิงเทรา ซึ่งพระองค์เองเป็นผู้พระราชทานชื่อเต็ม วัดจีนประชาสโมสร ให้กับทางวัด ที่นี่มีจุดไฮไลท์ที่ชวนสังเกต อยู่หลายจุดเช่น รูปหล่อท้าวจตุโลกบาลขนาดใหญ่ 4 องค์ที่ทำจากกระดาษ พระประธาน 3 องค์ พระอรหันต์ 18 องค์ พร้อมด้วย เทพเจ้าไฉ่เซ่งเอี๊ยะ จนเป็นที่นิยมในหมู่คนไทยเชื้อสายจีนที่เข้ามาขอพรด้าน โชคลาภ การเงิน ต่างๆด้วยครับ รวมถึงระฆังใบยักษ์ มีน้ำหนักประมาณ 1 ตัน ใครได้ตีระฆังใบนี้ถือว่า เปรียบได้กับ ได้สวดมนต์เสริมมงคลให้ชีวิตแล้ว ก่อนที่เราจะไปในจุดต่อไป
เข้าสู่ช่วงกลางวัน กองทัพต้องเดินด้วยท้อง เราจึงได้ข้ามมาอีกฝั่ง สำรวจร้านอาหาร ของกินของใช้ ขนม กันที่ ตลาดยอดฮิต “ตลาดบ้านใหม่ 100 ปี” ที่จะเปิดเฉพาะแค่วันเสาร์ – อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์เท่านั้น ที่นี่เป็นพื้นที่ทำมาหากินของชุมชนชาวไทยเชื้อสายจีนที่เข้ามาตั้งรกรากกันมาตั้งแต่ สมัยรัชกาลที่ 5 เมื่อเข้ามาด้านในตลาด พบว่าค่อนข้างคึกคักมากขึ้นกว่าช่วงก่อนหน้านี้ มีร้านค้า เปิดขายกันอย่างหนาตา ทั้งของใช้ ของกิน รวมถึงอาหารแบบโบราณ บางประเภทที่หาทานได้ยากแล้ว เช่น ร้านนี้ขายขนมเกสรลำเจียก สูตรโบราณสมัยรัชกาลที่ 2
ส่วนร้านอาหารมีให้เลือกทานกันหลายร้านหลากรส ที่นี่ความชอบของพวกเราคือ ยังมีความเป็นท้องถิ่น อาหาร ขนม หรือของที่ขายส่วนมากเป็นของคนถิ่นนี้ที่ทำกันเอง ไม่ได้รับมาจากที่อื่นเหมือนบางแห่ง เรียกว่าใครมาที่นี่ไม่มีหิวแน่นอน ร้านแนะนำมีอยู่หลายร้าน อาทิ สายแป้ง ต้องไม่พลาดข้าวเกรียบปากหม้อ ของ ร้านจุกดี ข้าวเกรียบปากหม้อ เจ้าดังแห่งตลาดบ้านใหม่ ชุดละ 60 บาท เสิร์ฟพร้อมน้ำซุป ทานคู่กันแล้วอร่อยดีมาก Getaway Holidays คอนเฟิร์ม ข้างๆ กันมีร้านผัดไทยโบราณ คนนั่งรอคิวกันพอสมควร ก็น่าลิ้มลองเช่นกันครับ
หลังท้องอิ่มกันแล้ว เราก็ไปกันต่อที่อำเภอบางคล้า นั่งรถไปไม่ไกลครับประมาณ 20-30 นาที เยี่ยมชม “วัดปากน้ำโจ้โล้” วัดสีทองอร่ามที่มีเรื่องราวทางประวัติศาสตร์มาอย่างยาวนานตั้งแต่สมัยพระเจ้าตากสิน บริเวณนี้เคยเป็นที่ตั้งของฐานทัพพม่ามาก่อน เพื่อเตรียมพร้อมยกตีกับ กองทัพไทยนำทัพโดยสมเด็จพระเจ้าตากสิน และที่สุดไทยได้รับชัยชนะ สมเด็จพระเจ้าตากสินจึงได้ให้สร้างเจดีย์ไว้เป็นอนุสรณ์ นอกจากเกร็ดสำคัญทางประวัติศาสตร์แล้ว วัดแห่งนี้มีพระอุโบสถแห่งเดียวในไทย ที่มีสีทองอร่ามเรืองรองงดงามตระการตายิ่งนัก เพียงพ้นเขตขันธสีมาเข้ามภายในวัดเป็นจุดถ่ายภาพที่สวยงาม และถูกแชร์ในโลกออนไลน์มากที่สุดแห่งหนึ่ง เมื่อเดินทางมาถึงแล้วเราพบว่า ที่นี่เต็มไปด้วยมุมถ่ายรูปสวยๆ ยาวไปจนถึงริมน้ำแม่น้ำบางประกง ให้บรรยากาศที่ร่มรื่น และภายในเองก็มีพระประทานองค์ศักดิ์สิทธิ์ ที่เราสามารถเดินเข้ามาลอดใต้ฐานพระประธานเพื่อเสริมศิริมงคลได้อีกด้วย ไม่พลาดแน่นอนครับ
แหล่งท่องเที่ยวแห่งสุดท้ายที่เราออกมาสำรวจคือ “อุทยานพระพิฆเนศองค์ยืน คลองเขื่อน" ที่ตั้งอยู่ไม่ห่างกันมากนักจาก วัดปากน้ำโจ้โล้ ซึ่งตัวอุทยานจะตั้งอยู่ในพื้นที่เกษตรกรรมของชาวบ้าน เมื่อเข้ามาภายในเราจะมองเห็นองค์พพระพิฆเนศ ปางยืน มาแต่ไกล มีความสูงกว่า 39 เมตร ทำมาจากสำริดมีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ที่พระหัตถ์ของพระองค์จะถือดอกบัว กล้วย ขนุน อ้อย ตามด้วยที่เท้า จะมี หนูยืนอยู่บนลูกมะพร้าว ทั้งหมดนี้สื่อถึงความอุดมสมบูรณ์ของแผ่นดิน ความเชื่อของคนไทยเราจะนับถือพระพิฆเนศว่า เป็นเทพเจ้าด้านศิลปะ พร้อมกับประทานพรด้านความสำเร็จ ความเจริญรุ่งเรือง ผู้คนจึงนิยมเข้ามาขอพรด้านการเรียน การศึกษา การทำงาน ให้บรรลุประสบความสำเร็จดั่งที่ใจหวังกันครับ นอกจากจะมีองค์พระพิฆเนศแล้ว บริเวณรอบๆยังมีจุดกราบไหว้ ที่น่าสนใจอยู่ด้วยนะครับ เช่น พระพิฆเนศประจำวันเกิด พระแม่อุมา พระอิศวร ศาสลาไฉ่ชิงเอี๊ย ที่ล้วนแต่เสิรมสิริมงคลให้ชีวิตให้ดียิ่งขึ้นนะครับ
และจะให้ทริปสมบูรณ์ ก็ต้องมีของฝากติดไม้ติดมือกลับบ้านกันด้วยจริงไหมครับ และเมืองแปดริ้วที่ต้องซื้อ คงหนีไม่พ้น ขนมเปี๊ยะดั้งเดิมของถิ่นนี้ที่ร้าน "ตั้งเซ่งจั๊ว" เจ้าดังของฉะเชิงเทราที่การันตีความอร่อยด้วย ทายาทรุ่นที่ 3 แล้ว ซึ่งเปิดขายนานถึง 88 ปี โดยมีเมนูเด็ดของที่ห้ามพลาดคือ ขนมเปี๊ยะ ซึ่งเป็นสูตรเก่าแก่ของต้นตระกูล ที่ขายดิบขายดีเป็นอย่างมาก มีขนมบัวหิมะ ขนมไหว้พระจันทร์ให้เลือกซื้อหา เราแวะ 2 ร้านครับ คือ สาขาเก๋งจีน ไม่ไกลจากวัดปากน้ำโจ้โล้ และใกล้กับทางไปสถานีรถไฟที่ทายาทรุ่นลูกรุ่นหลานได้ปรับให้สวยงามด้วยการตกแต่งอาคารในพื้นที่จำกัดเป็นโรงแรมขนาดเล็ก พร้อมร้านกาแฟเล็กๆ และขายขนมของฝากดังของร้าน ชื่อว่า "อุ้ยแจม" (Oui Jaime) ร้านน่านั่งชิคชิคตั้งอยู่ริมถนน แม้พื้นที่จะมีขนาดเล็ก แต่ได้รับการออกแบบที่ทันสมัย และใช้พื้นที่ได้คุ้มค่าในพื้นที่จำกัด ก่อนเดินทางกลับไป สถานีรถไฟชุมทางฉะเชิงเทรา เพื่อรอรถไฟขบวนที่จะพาเราเดินทางกลับกรุงเทพในเวลา 16.12 น. เจ้ารถเหล็กมาตามเวลาและนำพาพวกเรานั่งชิลล์ระเรื่อย ลาเมืองแปดริ้วยามเย็นก่อนที่จะถึงหัวลำโพงในเวลา 18.15 น. ด้วยความสนุกและประทับใจกับ
เมืองฉะเชิงเทรา ที่เที่ยววันเดียวก็ยังไม่ครบ และนี่เป็นเพียงน้ำจิ้ม ที่เราหยิบมารีวิว เรียกน้ำย่อยของเพื่อนๆ และหากท่านใดสนใจเดินทางไปเที่ยวฉะเชิงเทรา รับรองว่าท่านจะประทับใจเหมือนกับพวกเราแน่นอน จะเดินทางเอง หรือ จะเดินทางไปกับ Getaway Holidays ได้เลยครับ
Comments